วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

การบำบัดโรคโดยไม่ต้องใช้ยา#1 (แสงขาวบำบัดโรคกระเพาะ & กรดไหลย้อน)

การบำบัดโรคโดยไม่ต้องใช้ยา#1 (แสงขาวบำบัดโรคกระเพาะ & กรดไหลย้อน)

พูดถึงโรคกระเพาะทุกคนคงรู้จักดีแล้ว ส่วนกรดไหลย้อน ปัจจุบันเรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก มันเป็นโรคฮิตไปซะแล้วนะคะ และสองโรคนี้มักจะมาพร้อมๆกัน .....ถ้าเป็นสมัยก้อนย้อนไปสัก 6-7 ปี คำว่ากรดไหลย้อนยังไม่เป็นที่รู้จักวงกว้างเท่าปัจจุบัน ตอนนั้นคุณอาจจะคิดว่าคุณกำลังปวดท้องโรคกระเพาะก็ได้ ... มันสร้างความรำคาญ ถึงสร้างความทรมานในบางราย (-_-)



อาการปวดท้องจากกรดไหลย้อน หรือกระเพาะ อาการก็จะมีหลายระดับ บางคนปวดท้องเกร็งจนตัวงอ เดินไม่ไหว มือเย็น ถ้าถึงระดับนี้แล้วแค่กินยาเองอาจไม่ไหว ต้องไปฉีดยาแก้ปวดที่ รพ. ถึงจะเอาอยู่!!!


จะดีแค่ไหน ถ้าเราบำบัดหรือบรรเทาอาการปวด อาการข้างเคียงเหล่านั้นเองได้ในทันที ?



เพียงแค่ใช้การสั่งจิต ใช้แสงขาวบำบัด โดยให้มีแสงขาวแห่งความศักดิ์สิทธิ์และพลังบริสุทธิ์ครอบคลุมบริเวณที่ปวดนั้นไว้ ...... ให้แสงขาวช่วยบรรเทา ความเจ็บปวดก็จะค่อยๆ หายไป

ทั้งนี้หากปวดมาก อาจต้องสั่งหลายรอบ ตั้งแต่ที่เคยสั่งมา ก็ 1- 3 รอบ ..... รอบที่ 3 พอสั่งเสร็จเรียบร้อย แทบจะเรียกได้ว่า " ลืมไปเลย ว่าเมื้อกี้ปวดท้องมาก "

ที่สำคัญ ฝู้รับการบำบัด ต้องมีสมาธิและสามารถรวบรวมสมาธิได้ดีมาก (เพราะในขณะที่ปวด ทุกท่านคงรู้นะคะ ว่าจิตมันฟุ้งอค่ไหน)

แต่ถ้าต้องการบรรเทาอาการที่ไม่หนักมาก ก็ทำได้เช่นเดียวกัน เช่นการไอ ทเจ็บคอ เกิดจากกรดไหลขึ้นมาถึงหลอดอาหาร สามารถใช้แสงขาวมาช่วยเช่นเดียวกัน ... และผู้รับการบำบัดอาจไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิขั้นสูง เพียงสั่งจิตบำบัด ให้ร่างกายหลั่งกรดออกมาในปริมาณปกติ หรือให้ระบบต่างๆทำงานเป็นปกติ สั่งบ่อยๆ ติดต่อกัน เท่านี้อาการก็จะดีขึ้นค่ะ 

สำหรับวันนี้ เราขอแชร์เท่านี้ก่อนนะคะ ตอนหน้าจะมาแชร์การบรรเทาอาการปวดหัว

สุดท้าย .... จงจำไว้ว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" .... แต่หากอะไรป้องกันไว้ก่อนได้ ก็ควรทำนะคะ


วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

รักคือความสวยงาม

รักคือความสวยงาม




มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาให้สั่งจิตเพื่อดูว่าทำไมเธอจึงตัดไม่ขาดจากผู้ชายคนหนึ่งซักที  คบกันมานับสิบปี แต่เป็นสิบปีที่รักๆเลิกๆ หลายครั้ง แต่ในการเลิกครั้งนี้เธอคิดว่า เธอไม่สามารถอดทนต่อเหตุการณ์แบบนี้ได้อีก

เมื่อพาเธอย้อนอดีตกลับไป ในเวลาที่ไกลกว่าการเกิดครั้งนี้
ภาพแรกที่เธอเห็น คือ ควันสีเทาเต็มเบื้องหน้าของเธอ ด้านหลังของควันนั้นเป็นเหมือนตึก อาคาร
เมื่อย้อนไปดูเหตุการณ์ก่อนหน้า เธอพบว่าเธอมีคนรัก ซึ่งก็คือคนรักของเธอในปัจจุบันนี้ 6 คนรักของเธอเป็นทหาร เธอเฝ้ารอการกลับมา
รอคอยการได้เจอกันทุกครั้ง คนทั้งสองรักกันมาก

แต่ในที่สุดในวันที่เข้าไปเที่ยวในเมือง เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ตึกๆ หนึ่ง
มีควันสีเทาๆดำๆเต็มไปหมด คนวิ่งพุกพล่าน
เธอพลัดกับคนรักของเธอ เธอหาเขาไม่เจอ และเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก เพราะเธอรักเขามาก

ในวันรุ่งขึ้น เธอกลับไปที่เดิม มีแต่ซากตึกปรักหักพัง เธอพยายามหาเขา และวันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่เธอและเขาได้เจอกัน

เมื่อถามเธอว่า บทเรียนอะไรที่เธอได้ในครั้งนั้น จิตใต้สำนึกของเธอได้บอกว่า
"ความรักคือสิ่งที่สวยงาม ถึงแม้ว่ารักแล้วต้องพลักพราก แต่ขอให้จดจำในสิ่งที่ดี
และเวลาของมนุษย์นี้สั้น จะเกิดอะไรขึ้นบ้างไม่มีใครรู้ ให้ใช้เวลาให้มีค่าที่สุด"


ในวันนี้เธอเข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่นั่งเสียใจร้องไห้อีกแล้ว เธอขอจดจำแต่สิ่งดีๆ
เธอไม่ได้กลับไปคืนดีกับคนรักของเธออีก แต่เธอเลือกที่จะใช้เวลาในชีวิตที่เหลือของเธอให้คุ้มค่า
ชีวืตของเธอดีขึ้น เพราะเธอเข้าใจความเป็นไปของชีวิตได้ดีขึ้น

** ขอสงวนสิทธิ์ในการสั่งจิตใต้สำนึกแบบนี้ เนื่องจากมีกฏว่าจะไม่สั่งให้คนบางกลุ่ม เช่น
คนที่งมงายกับไสยศาสตร์และไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ, คนที่ชอบโทษหรือโยนความผิดให้คนอื่น, คนที่มักหมกมุ่นกับการฆ่าตัวตาย, คนที่เป็นโรคจิตเภท
** การย้อนแค่อดีตในชาติปัจจุบันก็สามารถรู้และเข้าใจปัญหาได้เช่นกัน




วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ผลพลอยได้จากการสั่งจิตย้อนอดีต "ความลับของดวงตา"





ผลพลอยได้จากการสั่งจิตย้อนอดีต "ความลับของดวงตา"
ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ ...... เคยได้ยินคำนี้บ่อยๆ เหมือนกับเป็นสโลแกนของการมีความรัก
แต่ถามจริงๆ และตอบจริงๆ ..... ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมต้องดวงตา ใครเป็นคนคิด แล้วมันใช่จริงๆ เหรอ

ในเมื่อมันไม่ค่อยเข้าใจ ก็เก็บไว้พูดโก้ๆ แล้วกัน ฮ่าๆ

แต่..แต่หลังจากที่ศึกษาและสามารถสั่งจิตย้อนอดีต (ปัจจุบัน และอดีตชาติ) ได้ ก็ทำให้รู้อย่างหนึ่งว่า "ดวงตา" คือสิ่งที่ทำให้เราสามารถจดจำคนในอดีตคนนั้นได้ มันคือช่องทางหนึ่งที่สามารถข้ามกาลเวลา หรือเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่าง

(การสั่งจิตย้อนอดีต จะให้มองเข้าไปในดวงตาของคนที่จิตเราเห็น เมื่อมองเข้าไป จะทำให้จดจำกันได้ ว่าเป็นใครในปัจจุบัน)

ก่อนอื่น ต้องขอบอกก่อนว่าสิ่งที่กำลังเขียนนี้ ถ้าคุณอยากพิสูจน์ คุณต้องพิสูจน์ด้วยตัวของคุณเอง อย่าเชื่อที่เขาเล่ามา :)

ส่วนเราขอเล่าในแง่มุมของ ผลพลอยได้ของความรู้ใหม่นี้ ....

ผลพลอยได้คืออะไร ?

....มันก็คือ เรารู้แล้วว่าเราสามารถเข้าถึงคนๆ นั้นได้ โดยผ่าน "ดวงตา"

และเมื่อวันหนึ่งมาถึง วันที่บ้านของเรามีปัญหามาก หนักมาก เป็นเรื่องหนี้สินที่ทำให้เราต้องเสียเงินสดไปเป็นเลข 7 หลักกันเลยทีเดียว .... หมดหน้าตัก ฮ่าๆ

ตอนนี้ขำได้และนะ แต่ตอนที่ต้องไปเคลียร์กับเจ้าหนี้นี่ซิ ..... "เงินกู้นอกระบบ" (ไม่ต้องถามที่มาที่ไปนะคะ เพราะมันยาวมากกกก เอาเป็นว่า ไอ้พวกเงินกู้พวกนี้ ถ้าคุณได้เริ่มเอามาใช้ มันสามารถพอกพูน ผูกมัดคุณจนดิ้นไม่หลุดถ้าคุณไม่มีเงินมาโปะ!! คุณแทบหาจุดเริ่มต้นไม่เจอแล้วกัน)

แต่เรา คือลูกสาวคนโต น้องๆ ก็มีแต่ผู้หญิง ... การที่ต้องเข้มแข็งและเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น ก็หนีไม่พ้น

แล้วเจ้าหนี้พวกนี้ก็ไม่ใช่คนเดียวด้วยซิ รวมๆ แล้วมันก็ เอิ่มมมม  34 เจ้า...เท่าที่ได้นับ และนับได้

วันนั้น วันที่เราตัดสินใจ .... เดินเข้าไปคุย มันเพราะความจำเป็น และความตั้งใจที่จะเคลียร์มันให้ได้ มันตามหลอกหลอนเรามาหลายปีแล้ว ครั้งนี้เราต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่งั้นหมดเนื้อหมดตัวแน่ๆ

....34 เจ้า ก็เจ้าละ 1-3 คน ที่เป็นพวกที่มาเก็บเงิน ... รวมๆ ก็ 60 กว่าคนเอ้งงงง .... เราใช้เวลา 2 วัน กว่าจะคุยเสร็จ แทบเป็นลม !!!! ตั้งแต่สายยันค่ำ !!!



เหตุการณ์นี้เกี่ยวกับดวงตายังไง????

ก็ตอนที่ต้องไปต่อรองลดหนี้ให้ได้เยอะที่สุด หรือให้ได้เวลาที่ไม่คิดดอกเบี้ยให้ได้นานที่สุด เพราะพวกนี้เค้าคิดดอกเบี้ยเป็นรายวัน

..... ก็ไม่ง่าย เพราะเราคือลูกหนี้ และต้องไปคุยกับผู้ชายที่ดูโหดพอควร ไปกับน้องสาวสองคน ตรงร้านค้าที่เป็นจุดจ่ายเงินประจำ ที่คนที่กู้เงินจะรู้กันอยู่

.....และถ้าดวงตามันข้ามกาลเวลาได้จริง เชื่อมโยงกับจิตได้จริง และด้วยกุศลที่เราเคยทำมา .....เรามั่นใจว่าเราต้องทำได้สำเร็จ!!

Deal แต่ละเจ้า ไม่ง่าย ยิ่งมาพร้อมๆ กัน รายล้อมตัว .... ต้องเรียกคุยทีละเจ้าๆ ต่อรองๆๆๆ ยากง่ายแตกต่างกัน แต่ผลประโยชน์ต้องใกล้เคียง พวกที่มาเก็บเงินก็ไม่มีใครยอมใคร

เราเองก็ต้องใจแข็ง มีสติเพื่อต่อรอง และที่สำคัญคือ มองเข้าไปในดวงตา .... ฉันเห็นความใจอ่อน ความโลเล และฉันก็เห็นความเป็นคนในตัวพวกเธอ (ขอบคุณนะ) .... ก็เริ่มต่อรองสำเร็จไปทีละเจ้าๆ

ในบางคนที่ say no ตลอด ยืนยันว่าลดไม่ได้ๆ อย่างเดียว .... มียากมากๆ อยู่ซัก 4 Cases ..... แต่เมื่อเรามองเข้าไปในแววตา แค่เสี้ยววินาทีก็รู้สึกถึงความไม่มั่นใจบางอย่าง เปิดเป็นช่องว่าง ทำให้เราต่อรองชนะ

แต่ที่ยากที่สุดคือ case ที่ ถ้าเราต้องการลดเยอะกว่านี้ เราต้องคุยกับเจ้าของเงินเอง ..... เค้าก็ต่อโทร. ให้คุย ซึ่ง case พวกนี้ เราไม่เห็นดวงตา ทำให้ต่อรองยากมาก ..... ต้องใช้สติ ใช้จิตจับความรู้สึก

ต้องขอบอกตรงๆ เลยว่า .... พวกที่มาทวงเงิน เหมือนจะโหด แต่ที่เหี้ยมคือเจ้าของเงิน!!!!

วัตถุประสงค์ของเราคือไปขอลดหนี้ เมื่อขอได้เยอะสุดแค่นั้น นานสุดแค่นั้น เราก็พอใจแล้ว ..... หลีกให้ห่างเส้นทางสีดำเส้นนั้นให้เร็วที่สุด จะดีที่สุด

ปล. พวกที่มาเก็บเงินบางคน ก็ต้องหาเงินไปซื้อนมให้ลูกกิน ... ไม่ได้โหดทุกคน ..... แต่ไม่ว่าจะโหดหรือไม่โหด คุณเห็นมันได้จากดวงตา


ขอให้มีสติในทุกย่างก้าว
สวัสดีค่ะ

ผู้เขียน : http://www.bumrungsuk.com/2012_10_01_archive.html